กระเจี๊ยบเขียว ขจัดสารพิษ ต้านอนุมูลอิสระ
กลูตาไทโอน มีบทบาทสำคัญควบคุม “สารอนุมูลอิสระ” ในร่างกาย การสร้างสารซ่อมแซมเซลล์ และทำปฏิกิริยาขจัดสารพิษที่เกิดในร่างกาย ช่วยต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันนิยมใช้สารนี้เพื่อให้ผิวขาวขึ้น เพราะกลูตาไทโอน สามารถกดการทำงานของเอนไซม์ที่ผลิตเม็ดสีได้ชั่วคราว
ซึ่งเป็นส่วนของพืชผักที่ร่างกาย ย่อยไม่ได้ และเส้นใยที่ละลายน้ำได้ สารเมือกหรือเส้นใยที่ละลายน้ำได้ของกระเจี๊ยบเขียว เมื่อลงสู่ลำไส้ใหญ่จะช่วยในการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ (พรีไบโอติกแบคทีเรีย) ซึ่งจะช่วยลดปริมาณพิษที่ผลิตจากแบคทีเรียที่ไม่มีประโยชน์ที่อาศัยอยู่บริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย กระเจี๊ยบเขียวจึงจัดเป็นผักสุขภาพสำหรับผู้ป่วยมะเร็งอีกชนิดหนึ่ง
มีคุณสมบัติช่วยการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี โดยเส้นใยที่ละลายน้ำได้มีคุณสมบัติในการดูดซับสารพิษและขับถ่ายออกทางอุจจาระ จึงไม่มีสารพิษตกค้างในลำไส้ และสำหรับผู้ที่ป่วยโรคเบาหวานและคอเลสเตอรอลสูง เส้นใยที่ละลายน้ำในกระเจี๊ยบเขียวจะช่วยลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอลและน้ำตาลเข้าสู่ร่างกาย ช่วยในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยกำจัดไขมันปริมาณสูงที่จับอยู่กับน้ำดีได้
ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการท้องผูกและท้องเสียสลับกัน และยังช่วยรักษาอาการปวดท้องจากแผลในกระเพาะอาหารและแผลจากลำไส้เล็กส่วนต้น
เพราะเมือกในกระเจี๊ยบเขียว จะมีสารในกลุ่ม polysaccharide ช่วยในการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ (พรีไบโอติก) ทั้งยังดูดน้ำเข้ามาในลำไส้ ช่วยให้ขับถ่ายง่ายขึ้น
จาก มูลนิธิหมอชาวบ้าน บอกว่า นำผลกระเจี๊ยบเขียวที่ยังอ่อนมาปรุงเป็นอาหาร เช่น ต้มหรือย่างไฟให้สุก จิ้มกับน้ำพริก หรือทำแกงส้ม แกงเลียง กินวันละ 3 เวลาทุกวัน โดยจะกินเท่าไหร่ก็ได้ แต่อย่างน้อยวันละ 4-5 ผล ติดต่อกัน 15 วัน หรือบางคนต้องกินเป็นเดือนจึงจะหาย หรือตำรับที่ 2 ใช้รากกระเจี๊ยบแดง กระเจี๊ยบเขียว ต้มกิน
ใครที่ยังไม่เคยหรือไม่กล้าลองรับประทานกระเจี๊ยบเขียวสดๆนั้น…อยากให้ลองเริ่มรับประทานดูนะคะ ลองนำกระเจี๊ยบเขียวไปชุปแป้งทอดรับประทานคู่กับน้ำพริก จะช่วยให้รับประทานได้ง่ายขึ้น